แนนซี อีเวอร์ฮาร์ท แนวทางในการตรวจสอบและประเมินคุณภาพของเว็บไซต์สำหรับนักออกแบบและนักพัฒนาเว็บไว้น่าสนใจ ดังนี้ 1. ความทันสมัย (Currency) เป็นข้อมูลที่ใหม่ ทันต่อสถานการณ์และได้รับการปรับปรุงแก้ไขตามระยะเวลาอย่างเหมาะสม และแสดงวันที่ปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด 2. เนื้อหาและข้อมูล (Content and Information) ต้องมีเนื้อหาและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เนื้อหาของเว็บมีความถูกต้อง เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดทำเว็บไซต์ 3. ความน่าเชื่อถือ (Authority) คือ ผู้จัดทำเว็บเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้อหา หรือเป็นองค์กรที่รับผิดชอบด้านนั้นโดยตรง โดยแสดงความรับผิดชอบในเว็บอย่างชัดเจน แสดงให้เห็นได้จากส่วนที่สงวนลิขสิทธิ์และผู้รับผิดชอบภายในเว็บ ซึ่งนิยมแสดงไว้ด้านล่างของเว็บไซต์ 4. การเชื่อมโยงข้อมูล (Navigation) ควรจะแสดงการเชื่อมโยงไปยังส่วนต่างๆ ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย และอ่านได้อย่างชัดเจน 5. การปฏิบัติจริง (Experience) ต้องทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกว่าไม่เสียเวลา ไมไร้ประโยชน์หรือเว็บเพจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ 6. ความเป็นมัลติมีเดีย (Multimedia) องค์ประกอบที่สำคัญของความเป็น multimedia ภายในเว็บไซด์ คือ เสียง ภาพ กราฟฟิก ภาพเคลื่อนไหว ควรสอดคล้องกับเนื้อหาภายในเว็บ 7.
รักษาข้อมูลความปลอดภัยด้วย SSL ส่วนช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าออนไลน์ สังเกตได้จากตรง URL ของเว็บไซต์ จะมี เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้อื่นสามารถขโมยข้อมูลไปใช้ได้ เพราะว่าข้อมูลได้ถูกเข้ารหัสไว้นั่นเองค่ะ ส่วนนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการสื่อสารหรือส่งข้อมูลบนโลกอินเทอร์เน็ต ลูกค้าจะมั่นใจในการเข้าใช้งานเว็บไซต์มากขึ้น 5. ข้อความดึงดูดที่น่าสนใจ ตัวหนังสือเห็นชัด ข้อความบนหน้าเว็บไซต์ รวมไปถึงฟ้อนท์ ก็เป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารถึงลูกค้า เน้นข้อมูลที่เป็นประโยชน์และโปรโมชั่น พยายามลดข้อมูลที่ไม่จำเป็นทิ้งไป จัดวางตัวหนังสือให้อ่านง่ายและเป็นระเบียบ จะช่วยให้ร้านค้าสื่อสารกับลูกค้าได้มีประสิทธิภาพที่สุด 6. เว็บไซต์ใช้งานง่าย สั่งซื้อได้สะดวก รูปแบบของเว็บไซต์ที่ดูใช้งานง่าย ดึงเฉพาะรายละเอียดส่วนที่สำคัญให้ครบถ้วน ปุ่มสั่งซื้อควรเห็นได้ชัด ทำให้ขั้นตอนการโอนชำระสะดวกต่อลูกค้ามากที่สุด หน้าเว็บไซต์ไม่ควรยาวจนเกินไป ใส่เพียงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และที่สำคัญที่สุดคือเว็บไซต์ควรรองรับทุกการแสดงผลที่สวยงามในทุกอุปกรณ์ 7.
การมีเว็บไซต์ที่ดี เป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญในการทำธุรกิจออนไลน์ นอกจากความสวยงามที่ใช้ดึงดูดลูกค้าที่ต้องคำนึงถึงแล้ว ยังมีองค์ประกอบต่าง ๆ ในการทำเว็บไซต์ที่ดีที่จะดันให้เว็บของเราอยู่ในอันดับต้น ๆ เมื่อมีการค้นหาและสามารถทำให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมและเข้าถึงเนื้อหาได้มากยิ่งขึ้น ในบทความนี้จะกล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญที่เว็บไซต์ควรจะมีเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น 1.
การให้ข้อมูล (treatment) ควรจะเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว โดยไม่มีความสลับซับซ้อน มีการจัดรูปแบบและหมวดหมู่ของข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบและใช้งานข้อมูล 8. การเข้าถึงข้อมูล (Access) สามารถแสดงผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อผู้ใช้เข้าสู่เว็บไซต์ 9. ความหลากหลายของข้อมูล (Miscellaneous) เว็บควรมีความหลากหลายและมีเรื่องที่เป็นประโยชน์หลาย ๆ เรื่อง มีความน่าเชื่อถือและตรวจสอบข้อมูลได้ ข้อมูลนั้นก็จะได้ความนิยมและแนะนำกันให้เข้ามาชมอีก การอ้างอิง การประเมินคุณภาพเว็บข้อมูลสารสนเทศ ข้อมูลเดียวกัน ########## แบบประเมินเว็บเพจของ ดร. แนนซี อีเวอร์ฮาร์ท (Everhart, 1996) ภาควิชาบรรณารักษและสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น รัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา 1. ความทันสมัย (Currency) 2. เนื้อหาและข้อมูล (Content and Information) 3. ความน่าเชื่อถือ (Authority) 4. การเชื่อมโยงข้อมูล (Navigation) 5. การปฏิบัติจริง (Experience) 6. ความเป็นมัลติมีเดีย (Multimedia) 7. การให้ข้อมูล (treatment) 8. การเข้าถึงข้อมูล (Access) 9. ความหลากหลายของข้อมูล (Miscellaneous) jvol9num1chapter2 จาก ดร. ปรัชญนันท์ นิลสุข
การมีเว็บไซต์เปรียบเสมือนการมีหน้าร้านค้า ที่คนทั้งโลกมีโอกาสเข้าถึงได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนั้นเว็บไซต์จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์ หากเว็บไซต์สามารถออกแบบและจัดองค์ประกอบได้ดี จะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าชม รวมไปถึงการกระตุ้นความสนใจให้เกิดการสั่งซื้อในที่สุด เว็บไซต์ที่ดีควรประกอบไปด้วยอะไรบ้าง? 1. โลโก้ ของธุรกิจ โลโก้ เป็นสิ่งสำคัญที่อยู่คู่กับแบรนด์เราไปตลอด เปรียบเสมือนการแสดงเอกลักษณ์ และบ่งบอกความเป็นตัวตนของธุรกิจ โลโก้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้คนจดจำแบรนด์ได้ การออกแบบโลโก้ที่ดีควร ใช้รูปแบบที่เรียบง่าย และสามารถจดจำได้ง่าย รวมถึงการใช้สี แอดมินแนะนำว่า เริ่มแรกควรเข้าใจหลักการใช้สี และความหมายของสีแต่ละสีให้ดีก่อนที่จะเลือกใช้ค่ะ 2. แบนเนอร์และดีไซน์สวยดึงดูด แบนเนอร์เป็นส่วนแรกที่คนเข้าหน้าเว็บไซต์แล้วเห็นทันที มีความสำคัญเทียบเท่ากับหน้าร้านเลยทีเดียว การมีแบนเนอร์ที่สวยงาม จะช่วยดึงดูดให้คนสนใจสินค้าและบริการมากขึ้น ควรออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และสื่อถึงธุรกิจของเราให้ได้มากที่สุด 3. มีเว็บไซต์ ควรติด SEO ธุรกิจใดที่มีเว็บไซต์ ก็ล้วนอยากติดหน้าแรกของการค้นหา เมื่อลูกค้าค้นหาสิ่งที่ต้องการแล้วเจอเราก่อน แน่นอนว่าเป็นการเพิ่มการเข้าถึงร้านค้า และช่วยเพิ่มโอกาสการขายให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นเว็บไซต์หรือร้านค้าที่ดีควรทำ SEO เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจ 4.
1. กำหนดวัตถุประสงค์ โดยพิจารณาว่าเป้าหมายของการสร้างเว็บไซต์นี้ทำเพื่ออะไร 2. ศึกษาคุณลักษณะของผู้ที่เข้ามาใช้ว่ากลุ่มเป้าหมายใดที่ผู้สร้างต้องการสื่อ สาร ข้อมูลอะไรที่พวกเขาต้องการโดยขั้นตอนนี้ควรปฏิบัติควบคู่ไปกับขั้นตอนที่ หนึ่ง 3. วางแผนเกี่ยวกับการจัดรูปแบบโครงสร้างเนื้อหาสาระ การออกแบบเว็บไซต์ต้องมีการจัดโครงสร้างหรือจัดระเบียบข้อมูลที่ชัดเจน การที่เนื้อหามี ความต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุดหรือกระจายมากเกินไป อาจทำให้เกิดความสับสนต่อผู้ใช้ได้ ฉะนั้นจึงควรออกแบบให้มีลักษณะที่ชัดเจนแยกย่อยออกเป็นส่วนต่าง ๆ จัดหมวดหมู่ในเรื่องที่สัมพันธ์กัน รวมทั้งอาจมีการแสดงให้ผู้ใช้เห็นแผนที่โครงสร้างเพื่อป้องกันความสับสนได้ 4. กำหนดรายละเอียดให้กับโครงสร้าง ซึ่งพิจารณาจากวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยตั้งเกณฑ์ในการใช้ เช่น ผู้ใช้ควรทำอะไรบ้าง จำนวนหน้าควรมีเท่าใด มีการเชื่อมโยง มากน้อยเพียงใด 5. หลังจากนั้น จึงทำการสร้างเว็บไซต์แล้วนำไปทดลองเพื่อหาข้อผิดพลาดและทำการแก้ไขปรับปรุง แล้วจึงนำเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นขั้นสุดท้าย ที่มา:
Useful & Relevant Content เนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ (นอกจาก Senna Labs จะเป็น Software House แล้วยังมีบทความเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อให้ผู้ใช้ด้วย) การออกแบบเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ จะต้องคำนึงถึงการมีดีไซน์ที่สวยงามพร้อมกับการมีคอนเทนต์ที่เข้าถึงง่าย เกี่ยวข้องกับธุรกิจ รวมถึงการทำ blog ต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำ SEO เพื่อเพิ่มอันดับการแสดงผลเมื่อถูกค้นหาผ่าน search engine ดังนั้น ในเว็บไซต์ควรมีเนื้อหาและข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการให้ถูกต้องและสมบูรณ์ โดยมีการปรับปรุงและเพิ่มเติมอยู่เสมอ เนื้อหาหรือบทความต่าง ๆ ควรสร้างสรรค์โดยคำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลัก 4. Speed ความเร็ว ( เว็บไซต์ how-to ที่สอนซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และยานพาหนะ ใช้เวลาในการโหลดหน้าเว็บเพียง 1. 18 วินาที) ลองตั้งคำถามว่า ถ้าหากเว็บไซต์ที่เรากำลังเข้าใช้เวลาโหลดนานเกินไป คุณจะยังรอต่อไปหรือเลือกที่จะปิด ผู้ใช้งานส่วนมากเลือกที่จะปิดหน้าเว็บนั้น ๆ ไป เพราะไม่อยากเสียเวลารอ ซึ่งในมุมมองของเจ้าของธุรกิจนั่นหมายถึงว่า คุณได้เสียกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพไป ดังนั้น เจ้าของเว็บไซต์จึงควรปรับปรุงเว็บไซต์ให้แสดงผลข้อมูลได้เร็วขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เข้าชมเว็บไซต์ออนไลน์ ซึ่งเวลาที่ใช้ในการโหลดที่ดีไม่ควรเกิน 3 วินาที 5.