5 เมตร โดยรอบ 2. โรงงานอุตสาหกรรม เป็นเสียงที่เกิดจากการทํางานของเครื่องจักรขนาดต่าง ๆ ซึ่งทําให้ เกิดระดับเสียงแตกต่างกันไปตั้งแต่ 60 เดซิเบล จนถึง 120 เดซิเบล แล้วแต่ขนาดแรงมาของเครื่องจักร วัสดุที่ใช้ทําฝาหรือเพดานโรงงาน รวมทั้งสภาพแวดล้อมของโรงงานด้วย 3. จากครัวเรือน เป็นเสียงที่เกิดจากเครื่องมือ เครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น เครื่องตัดหญ้า เครื่อง ดูดฝุ่น เครื่องขัดพื้น วิทยุ และโทรทัศน์ ทําให้เกิดระดับเสียงประมาณ 60 -70 เดซิเบล 4. เสียงรบกวนที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้แก่ การโฆษณา ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และเสียง ทะเลาะ วิวาทต่าง ๆ ผลกระทบของมลพิษทางเสียง ข้อกําหนดขององค์การอนามัยโลก สําหรับระดับเสียงที่ปลอดภัยคือ ไม่เกิน 85 เดซิเบล เมื่อ สัมผัสวันละ 8 ชั่วโมง อันตรายที่เกิดจากมลพิษของเสียง ถ้าให้สัมผัสวันละหลาย ๆ ชั่วโมงเป็นเวลา นาน ๆ ก็จะก่อให้เกิดอันตรายที่พอจะจําแนกได้ดังนี้คือ 1. ผลต่อจิตใจ - ก่อให้เกิดอาการหงุดหงิด รําคาญใจ ประสาทเครียด - ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ - ก่อให้เกิดการคลุ้มคลั่ง เสียสมาธิ 2. ผลต่อร่างกาย - ทําให้หัวใจเต้นแรง อัตราการหายใจเปลี่ยนแปลง - ทําให้เกิดกรดในกระเพาะมากกว่าปกติ เป็นโรคแผลในกระเพาะและโรคกระเพาะ อาหาร - ทําให้ความดันโลหิตสูง - ทําให้กล้ามเนื้อกระตุก เกิดอาการเหนื่อยหอบและแพ้ - ทําให้นอนไม่หลับ - ทําให้ประสาทหูเสื่อม อาจทําให้หูพิการ หูตึง หูหนวก 3.
ผลต่อการทํางาน ทําให้ประสิทธิภาพของการทํางานลดลง การติดต่อประสานงาน ล่า ช้า บางครั้งเกิดการผิดพลาดทําให้งานเสีย หรืออาจทําให้เกิดอุบัติเหตุได้ 4. ผลต่อการสื่อสาร เสียงดังกว่าปกติอาจรบกวนต่อการสื่อสาร การรับสัญญาณ และการรับ คําสั่งต่าง ๆ อันอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ 5. เกิดความเสียหายต่อวัตถุ เสียงที่มีระดับสูง เช่น เสียงจากเครื่องบินชนิดเร็วกว่าเสียง ทํา ให้เกิดการสั่นสะเทือน บางครั้งยังมีความดันทําให้อากาศมีความดันสูงขึ้นระหว่าง 1-10 ปอนด์ต่อตา รางฟุต ทําให้วัตถุหรือสิ่งก่อสร้างบางชนิด เช่น กําแพง ฝาผนัง หลังคา และหน้าต่าง สั่นไหวได้ หน้า ต่างกระจกถูกทําลายได้
ผู้ที่อยู่ในบริเวณที่มีแหล่งกำเนิดเสียงดังควรใช้วัสดุป้องกันการได้ยินเสียงดัง เช่น เครื่องอุดหู เครื่องครอบหู เป็นต้น 4. กำหนดเขตการใช้ที่ดินประเภทที่ก่อให้เกิดเสียงดังรำคาญ ให้อยู่ห่างจากสถานที่ที่ต้องการความสงบเงียบ เช่น ชุมชนพักอาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล วัด เป็นต้น เพื่อเพิ่มระยะทางระหว่างแหล่งกำเนิดเสียงกับชุมชน หรือให้มีเขตกันชนเพื่อลดความดังของเสียง 5. เข้มงวดกับการใช้มาตรการลดผลกระทบจากกิจกรรมการก่อสร้างต่างๆ 6. ยกเว้นหรือลดภาษีในกิจกรรมหรือวัสดุอุปกรณ์สำหรับควบคุมและป้องกันภาวะมลพิษทางเสียง 7. ให้การศึกษาและฝึกอบรมด้านภาวะมลพิษทางเสียงแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 8. สนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับการป้องกัน ควบคุมและแก้ไขภาวะมลพิษทางเสียง 9. สร้างเครือข่ายตรวจสอบและเฝ้าระวังแหล่งกำเนิดภาวะมลพิษภายในชุมชน 10. รณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้ถึงอันตรายจากภาวะมลพิษทางเสียง และร่วมมือกันป้องกันมิให้เกิดมลพิษทางเสียง
เนื่องจากที่ผ่านมามีการพิสูจน์ที่เพิ่มมากขึ้นว่า ผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางเสียงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องการการแก้ไข การออกแบบเสียงที่ดีจะช่วยให้คุณครู และ นักเรียนสามารถสื่อสารกันได้ดียิ่งขึ้น และสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นสำหรับการเรียนรู้ 1-2 Building in Sound – BIAMP Systems White Paper 3 J.
มลพิษทางเสียง หมายถึง สภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเกินค่ามาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดอันก่อให้เกิดความรำคาญ สร้างความรบกวน ทำให้เกิดความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ตกใจ และอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยได้ เช่น เสียงที่ดังมา ก หรือเสียงที่ดังยาวต่อเนื่อง เสียงรบกวน คือ เสียงที่ผู้ได้ยิน ประเภทของแหล่งกำเนิดมลพิษเสียง แหล่งที่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนอันเป็นมลพิษทางเสียง ส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ประเภทเคลื่อนที่ ได้แก่ - เสียงจากยานพาหนะทางบก ได้แก่ รถยนต์ รถไฟ รถจักรยานยนต์ เป็นต้น - เสียงจากยานพาหนะทางน้ำ เช่น เรือหางยาว เป็นต้น - เสียงจาดยานพาหนะทางอากาศ เช่น เครื่องบิน เป็นต้น - เสียงจากเครื่องกลหนักที่ใช้ในการก่อสร้าง - เสียงจากเครื่องขยายเสียงบนรถโฆษณาเคลื่อนที่ 2. ประเภทอยู่กับที่ ได้แก่ - สถานประกอบการต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม อู่ซ่อมรถยนต์ โรงมหรสพ และสวนสนุก - เสียงจากเครื่องมือกลที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น เครื่องเจาะคอนกรีต - เครื่องขยายเสียงตามสถานที่ต่างๆ สถานที่เริงรมย์ - เสียงจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ภูเขาไฟระเบิด ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางเสียง 1.